ผู้บริหาร”สกร.”ยกนิ้ว 9 ศูนย์เรียนรู้ฯ ชูอาชีพที่สอง ส่งผลคนเข้าห้องสมุดเพิ่ม-ผู้สูงวัยได้มีความสุขได้เพื่อนได้เงิน
วงเสวนาเรื่อง”ถอดรหัสห้องสมุดประชาชน….สู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน” จัดโดยสมาคมห้องสมุดฯ โดยศูนย์เรรียนรู้ต่อเนื่องอย่างยั่งยืน ชื่นชมศูนย์เรียนรู้ฯ 9 แห่ง ดันตัวเลขคนเข้าห้องสมุดเพิ่มขึ้น ช่วยผู้สูงวัยสุขกายสุขใจคลายเหงา แถมมีรายได้เสริม ระบุผลงาน-ผลิตภัณฑ์บางอย่าง เป็นซอฟท์พาวเวอร์สร้างชื่อได้
สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี โดยศูนย์เรียนรู้ต่อเนื่องอย่างยั่งยืน จัดประชุมทางวิชาการ เรื่อง”การถอดรหัสสู่ความสำเร็จศูนย์เรียนรู้ต่อเนื่องอย่างยั่งยืน Relearning Space @ Library:ห้องสมุดประชาชนจังหวัดสุราษฎร์ธานี” ที่โรงแรมวังใต้ จ.สุราษฎร์ฯ เมื่อวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา โดยนางเกศรา มัญชุศรี อดีตผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ปรึกษาและกรรมการมูลนิธิทวีปัญญา เป็นประธานเปิดงาน มีน.ส.กานสินี โอภาสรังสรรค์ ส.ส.สุราษฎร์ฯ พรรครวมไทยสร้างชาติ, นายประเสริฐ บุญประสพ นายกเทศมนตรีนครสุราษฎร์ฯ และว่าที่ร.อ.ดร.อาศิส เชยกลิ่น รักษาการผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมและพัฒนาฯ กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) ร่วมเป็นเกียรติ รวมทั้งบรรณารักษ์จากจังหวัดต่างๆ พร้อมด้วยนางสุพินดา มโนมัยพิบูลย์ ผู้จัดการมูลนิธิอาจารย์สุกรี เจริญสุข ซึ่งนำวงปล่อยแก่สุราษฎร์ฯมาโชว์การแสดงทั้งการร้องเพลงประสานเสียง และการเต้นไลน์แดนซ์
กิจกรรมภายในงานมีการเสวนาเรื่อง”ถอดรหัสห้องสมุดประชาชน….สู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน โดยดร.กฤษฎา เสกตระกูลกรรมการมูลนิธิทวีปัญญา อดีตรองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าที่ร.อ.ดร.อาศิส เชยกลิ่น และนางเตือนจิตร วงศ์สวัสดิ์ บรรณารักษ์ชำนาญการพิเศษ ห้องสมุดประชาชนจ.สุราษฎร์ฯ ดำเนินการเสวนาโดยอาจารย์สุจิตร สุวภาพ หัวหน้าโครงการศูนย์เรียนรู้ต่อเนื่องฯ
ดร.กฤษฎา กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการทำศูนย์เรียนรู้ต่อเนื่องอย่างยั่งยืน ที่มีอาจารย์สุจิตร สุวภาพ เป็นหัวหน้าโครงการฯเริ่มตั้งแต่ปี 2562 เนื่องจากเห็นปัญหาคนเข้าห้องสมุดน้อยลง ในขณะที่กรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) หรือกศน.เดิม สอนอาชีพให้กับประชาชน ซึ่งสินค้าโอท็อปจำนวนไม่น้อยก็มาจากผลงานนักเรียน สกร. การจัดตั้งศูนย์เรียนรู้ฯแห่งแรกที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในปี 2563 โดยเน้นการสอนหลักสูตรอาชีพที่สอง ตามความต้องการของชุมชน ต่อมาได้ขยายศูนย์เรียนรู้ฯ ไปอีก 8 จังหวัด รวมเป็น 9 จังหวัด จนถึงทุกวันนี้ถือเป็นผลงานที่น่าชื่นใจเพราะมีการพัฒนาก้าวหน้าไปค่อนข้างมาก “ผมมองว่าผลิตภัณฑ์หรือกิจกรรมบางอย่างที่แต่ละศูนย์เรียนรู้ฯทำนั้น อาจเป็นซอฟท์พาวเวอร์ให้กับทางจังหวัดและประเทศไทยได้ เพราะสินค้าบางอย่างสมาชิกศูนย์เรียนรู้ฯทำจากใจ เป็นสินค้าที่มาจากภูมิปัญญาของชุมชน เป็นสินค้า โฮมเมดจริงๆ ซึ่งแต่ละศูนย์ก็มีจุดเด่นแตกต่างกันไป โดยเฉพาะงานผ้าพิมพ์ใบไม้จากสีธรรมชาติ และของที่ระลึกต่างๆเป็นการช่วยลดขยะ ลดโลกร้อน และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ด้วย ส่งเสริมให้สมาชิกมีรายได้เสริม พร้อมกับลดรายจ่าย แต่มิติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือได้ในเรื่องสังคม ทุกคนมาอยู่ร่วมกันมาเสียสละเวลาและสร้างสรรค์ผลงานร่วมกัน ในขณะที่บ้านเราเป็นสังคมผู้สูงอายุ ทำให้ผู้สูงวัยได้ใช้เวลาว่างอย่างเกิดประโยชน์ เชื่อว่ามูลนิธิตลาดหลักทรัพย์ฯ จะสนับสนุนงานของศูนย์เรียนรู้ฯ ต่อไปอย่างแน่นอน”
ว่าที่ร.อ.ดร.อาศิส กล่าวว่า ห้องสมุดสังกัด สกร.ทั่วประเทศมีทั้งหมด 925 แห่ง โดยแบ่งเป็นห้องสมุดประเภทต่าง ๆ อาทิ ห้องสมุดประชาชน ”เฉลิมราชกุมารี”108 แห่ง ห้องสมุดประชาชนจังหวัด 69 แห่ง ห้องสมุดประชาชนอำเภอ 745 แห่ง นอกนั้นเป็นบ้านหนังสือชุมชน 18728 แห่ง สกร.ระดับตำบล 7435 แห่ง ซึ่งนโยบายของอธิบดีสกร.เน้นการทำกิจกรรมเพื่อนำไปสู่การอ่าน ห้องสมุดต้องปรับบทบาทไม่ใช่ส่งเสริมให้คนมาอ่านหนังสืออย่างเดียวจะไปไม่รอด โดยห้องสมุดจะต้องเป็น ”Library smart” เน้นการขับเคลื่อนด้วยกิจกรรม การใช้ชื่อโซเชียลมีเดียหลากหลายแพลตฟอร์ม รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นเครื่องมือในการเผยแพร่และส่งต่อองค์ความรู้ในรูปแบบต่าง ๆ
“การเรียนหลักสูตรวิชาชีพ ซึ่งสอดรับกับนโยบายของสกร.ที่ว่าใช้กิจกรรมนำการอ่าน เพราะก่อนที่จะไปทำอาชีพได้อย่างน้อยก็ต้องผ่านการอ่าน และเท่าที่ดูผลงานพร้อมผลิตภัณฑ์ของศูนย์เรียนรู้ฯแต่ละแห่ง เห็นว่าทำได้ดีมาก ผลิตภัณฑ์หลายอย่างเป็นของดีในชุมชน เมื่อนำมาสอนในศูนย์เรียนรู้ฯ ก็เป็นการดึงดูดให้คนเข้ามาห้องสมุดกันมากขึ้น ดังนั้นการนำผลงานความสำเร็จของศูนย์เรียนรู้มาโชว์ นับว่าเป็นประโยชน์มากจะได้มีการขยายผลต่อไป” ด้านนางเตือนจิตร กล่าวว่า ช่วงหลายปีก่อนคนไม่มาห้องสมุดกันเลย ตนเองก็รู้สึกเซ็งๆไม่รู้จะทำอย่างไรกับปัญหาที่เจอพอปี 2563 สมาคมห้องสมุดฯ และมูลนิธิตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้จักรเย็บผ้ามา 1 ตัวเพื่อให้ศูนย์เรียนรู้ฯสุราษฎร์ธานี เย็บหน้ากากอนามัยในช่วงโควิดระบาด จากนั้นได้จักรมาเพิ่มกว่า 10 ตัวทำกระเป๋าและของที่ระลึก ต่อมาห้องสมุดฯ ได้รับการคัดเลือกกระเป๋าผ้าทูลเกล้าถวายสมเด็จพระราชินี เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ เป็นแรงบันดาลใจให้ทำผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทั้งในเรื่องอาหารว่าง ศิลปะประดิษฐ์ ตลอดจนผ้าพิมพ์ใบไม้ ทำให้ผู้เรียนมีรายได้เสริม วัยรุ่นบางคนเรียนทำวุ้นแฟนซีจนสามารถต่อยอดเป็นผู้จำหน่าย เป็นอาชีพหลักได้เลย
“ศูนย์เรียนรู้ฯ ทำให้บรรดาผู้สูงอายุได้มาพบปะกัน อยู่กันเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน เกิดเป็นพลังสร้างสรรค์ผลงาน ที่ผ่านมาได้จดทะเบียนสินค้าโอท็อป 7 ผลิตภัณฑ์ และในปีนี้กำลังดำเนินการขอจดอีก 3 ผลิตภัณฑ์ สำหรับผ้าพิมพ์ใบไม้ของศูนย์ฯ เป็นสินค้าขายดีของศูนย์ฯ จนผลิตไม่ทันขายเพราะต้องออกบูธตามงานต่าง ๆ ทั้งที่ในจังหวัดสุราษฎร์ฯ และกรุงเทพฯ พร้อมกันนี้ได้ตกลงกันภายในกลุ่มว่าเมื่อมีงานอะไรสมาชิกต้องสวมใส่ผ้าพิมพ์ใบไม้ เพื่อเป็นการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ของกลุ่มไปในตัวด้วย” นางเตือนจิตร กล่าว
ต่อจากนั้นตัวแทนจากศูนย์เรียนรู้ต่อเนื่องฯ 7 แห่ง ประกอบด้วยศูนย์เรียนรู้ฯอุตรดิตถ์ อุบลราชธานี ลำปาง เพชรบูรณ์ ขอนแก่น สมุทรสงคราม และยะลา ได้นำเสนอผลงานของแต่ละศูนย์ ซึ่งนำผลิตภัณฑ์มาจัดแสดงและจำหน่าย และเตรียมจดทะเบียนเป็นสินค้าโอท็อปประจำจังหวัด เช่น ผ้าห่มครั่งของศูนย์เรียนรู้ฯลำปาง ผ้าพิมพ์ใบไม้จากธรรมชาติของศูนย์เรียนรู้ฯอุบลราชธานี และลูกปัดมโนราห์ของศูนย์เรียนรู้ฯยะลา ฯลฯ
นางสาวสุจิตร สุวภาพ หัวหน้าโครงการศูนย์เรียนรู้ต่อเนื่องอย่างยั่งยืน กล่าวว่า การดำเนินงานของศูนย์เรียนรู้ฯ ทั้ง 9 แห่ง ซึ่งวันนี้จังหวัดกาญจนบุรี ติดภารกิจไม่ได้มาจัดแสดง ได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากสมาชิก ผู้เรียน ชุมชน เครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน โดยได้ขยายหลักสูตรวิชาชีพที่สองไปยังตำบลและอำเภอของแต่ละจังหวัด การพัฒนาหลักสูตรวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง การสร้างวิทยากรจิตอาสา การพัฒนาและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ เป็นการสร้างจุดแข็งของศูนย์เรียนรู้ เพื่อเป็นการประกันคุณภาพและผลงานของผู้เรียน นับเป็นการสร้างความรู้ สู่ทักษะ เพิ่มรายได้ ให้ความสุข แก่สมาชิกผู้เรียนของศูนย์เรียนรู้ต่อเนื่องให้เกิดความยั่งยืนต่อไป